หน้า 2 จาก 5 ประวัติศาสตร์ไทโย้ย (บ้านอากาศ) ไทโย้ย เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประวัติความเป็นมา ของการอพยพมาจากบ้านปากน้ำเมืองฮ้อมท้าวฮูเซ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในสมัยรัชกาลที่ 2 สาเหตุของการอพยพ เนื่องจากต้องการแสวงหาพื้นที่ทำมาหากิน และอพยพมาด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกกวาดต้อนหรือขับไล่ โดยได้อพยพข้ามแม่น้ำโขง มาอาศัยแม่น้ำศรีสงครามและแม่น้ำยามตามลำดับ แล้วมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่เรียกว่าบ้านม่วงริมยาม ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภออากาศอำนวย และอีกส่วนหนึ่งก็ได้อพยพเคลื่อนต่อไปทางทิศตะวันตกของอำเภออากาศอำนวย เข้าไปอยู่ในอำเภอวานรนิวาส ชาวไทโย้ยเข้ามาอาศัยในบ้านม่วงริมยาม ซึ่งเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดสกลนคร และจังหวัดนครพนม ( สาเหตุที่เรียกว่าบ้านม่วงริมยามเพราะมีลำน้ำยามไหลผ่าน ) บริเวณนี้เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกมาก จึงทำให้มีราษฎรจากที่อื่นอพยพเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมากขึ้น การอาศัยแม่น้ำเป็นเส้นทางการคมนาคม จึงทำให้ชาวโย้ยสามารถเลือกทำเลการตั้งถิ่นฐานได้ เพราะลำน้ำยามสามารถติดต่อกับแม่น้ำโขง สิ่งหนึ่งที่พอจะสันนิษฐานว่าชาวโย้ยอพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยนั้น ทำไมจึงไม่ถูกกีดกันจากฝ่ายไทยอาจจะเป็นเพราะ ขณะนั้นพลเมืองของไทยยังมีน้อยอยู่ การได้คนมาก็เป็นแรงงานในการพัฒนาบ้านเมือง สามารถใช้แรงงานเป็นไพร่จึงไม่ถูกกีดกัน และอีกประการหนึ่งอาจจะเป็นเพราะในสมัยรัชกาลที่ 2 นั้น ดินแดนประเทศลาวเป็นเขตการปกครองของไทย การเคลื่อนย้ายจึงทำให้สะดวกดังจะเห็นได้จากหลักฐานปรากฏว่ารัชกาลที่ 2 ได้ทรงแต่ตั้งเจ้าเมืองครองเวียงจันทร์ "... ครั้นถึงปีชวด จุลศักราช 1166 พุทธศักราช 2357 พระเจ้าเชษฐาเจ้าเมืองเวียงจันทร์ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เจ้าอนุวงศ์ขึ้นครองราชย์กรุงเวียงจันทร์สืบมา ..." ต่อมาในปี พ.ศ. 2370 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้านเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทร์คิดการกบฏ สาเหตุต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากไทย กองทัพจากกรุงเทพฯยกขึ้นไปปราบเจ้าเมืองอนุวงศ์เมืองเวียงจันทร์แตก เข้ายึดเมืองเวียงจันทร์ได้ เจ้าอนุวงศ์หนีไปอยู่ที่เมืองมหาชัยกองแก้ว โดยนำตัวของพระบรมราชา (ม้ง) เจ้าเมืองนครพนมไปด้วย ในปี พ.ศ. 2357 กองทัพพระยาราชสุภาวดียกติดตามไปตีเมืองมหาชัยกองแก้วเจ้าเมืองหนีไป เมืองญวนและถึงแก่กรรมที่เมืองญวน จากข้อความในสารตราตั้งเมืองอากาศอำนวยดังกล่าวมาแล้ว เชื่อว่าชนกลุ่มชาติพันธุ์โย้ยส่วนหนึ่งได้เคยตั้งบ้านเมืองอยู่ไม่ห่างจากลำน้ำโขงมากนัก เช่นเดียวกับชาวย้อ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองไชยสุตอุตตบุรี เมืองชัยบุรีในเวลาต่อมา และผู้คนเหล่านี้ถูกเจ้าอนุวงค์กวาดต้อนกลับไปทางฝั่งซ้ายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการเกลี้ยกล่อมผู้คน หลัง พ.ศ. 2380 เป็นต้นมา จึงปรากฏว่ามีผู้คนจากเมืองต่างๆ เช่น เมืองฮ่อมท้าวฮูเซหรือที่เรียกว่าเมืองหอมท้าวอัตปือสุวรรณเขต ท่าแขก โดยเฉพาะเมืองหอมท้าวฮูเซได้มีผู้นำชื่อท้าวเพี้ย ติวซอย นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อผู้นำอีกบางคน เช่น ท้าวศรีสุราช ท้าวจันทนาม ท้าวนามโคตร ได้นำไพร่พลุกลุ่มนี้มีจำนวนมากถึงสองพันสามร้อยเก้าสิบหก พากันอพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาเลือกหลักแหล่งเพื่อตั้งบ้านเรือนทำมาหากิน ในจำนวนนั้นมีท้าเพี้ยคนหนึ่ง ได้อพยพไปอยู่ฝั่งโขง และไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ ท้าวเพี้ยรู้สึกความผิดและโทษาของตนจึงได้อพยพครอบครัวกลับมาบ้านม่วงริมยามอย่างเดิม การตั้งหลักแหล่งที่บริเวณบ้านม่วงริมยามนื้ ถือว่าอยู่ในเขตแดนเมืองสกลนคร ตามข้อความในสารตราตั้งเมืองสกลนคร พ.ศ. 2380 ตอนหนึ่งกล่าวว่า "...อ้างอิงจาก ธวัช บุญโณทก อีสาน : อดีต ปัจจุบันและอนาคต กล่าวว่าก่อนการปกครองหัวเมืองขึ้น ภาคอีสานปกครองด้วยระบบอาญาสี่ คือ เจ้าเมือง อุปราช ราชวงศ์ และราชบุตร และมีท้าวเพี้ยเป็นขุนนางขั้นรอง ๆ แบ่งส่วนราชการออกเป็นแขวง ตาแสง (ตำบล) และบ้าน ได้จัดแจงแบ่งปันเขตแดนเมืองสกลนคร ข้างตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่บ้านนน มาบ้านกุดสะมาลย์บ่อสระอือ บ้านบาตรตัดไปริมฝั่งน้ำอูนข้างเหนือ ตั้งแต่ปากน้ำยามข้างเหนือไปบ้านพระหัวพันนา ขึ้นไปปลายน้ำห้วยสงครามข้างใต้ เป็นเขตแดนเมืองสกลนคร ....'' อาจเป็นช่วงเดือนกันยายน ที่อัญเชิญพระแก้วมาพร้อมกับการอพยพมาบ้านม่วงริมยามของชาวโย้ย เมื่อปี พ.ศ. 2390 โดยท้าวเพี้ยได้พบเด็กกำลังเล่นพระพุทธรูปจึงขอดู และเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะดีจึงขอแลกกับผ้าขี้งา (ผ้าฝ้ายทอด้วยมือเป็นผ้าพื้นเมือง) แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดท่าฮัง (ปัจจุบันคือ วัดกลางพระแก้ว) เป็นพระพุทธรูปที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อและศรัทธาของชาวโย้ย หลังจากนั้น ไม่นานนักเกิดความผันผวนในกลุ่มของชาวโย้ย ที่ไม่ยอมสมัครใจอยู่กับพระยาประจันตประเทศธานี พระสุนทรราชวงศาจึงได้แจ้งความมายังลูกขุนศาลาในกรุงเทพฯ กล่าวว่าท้าวศรีสุราชและท้าวเพี้ยทั้งปวง สมัครมาทำราชการขึ้นกับเมืองนครพนม พระสุนทรราชวงศาได้กล่าวร้องขอชำระเอาครอบครัวพวกท้าวเพี้ยติวซอย ท้าวศรีสุราช มาตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านม่วงริมยาม ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน เมืองสกลนคร ต่อกับเมืองนครพนม จำนวนผู้คนเมื่อครั้งตั้งเมืองมีพระสงฆ์ สามเณร คนชรา คนพิการ 109 คน ท้าวเพี้ย 109 คน ชายฉกรรจ์ 240 คน รวมทั้งหญิงชายใหญ่น้อยจำนวน 2,339 คน พระสุนทรราชวงศา จึงขอยกบ้านม่วงริมยามเป็นเมือง ขอท้าวศรีสุราชเป็นเจ้าเมือง ท้าวจันทนามเป็นราชวงศ์ ท้าวนามโคตรเป็นราชบุตร ซึ่งในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านม่วงริมยามเป็นเมืองอากาศอำนวยและโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวศรีสุราชเป็นหลวงพลานุกูล ท้าวจันทนามเป็นอัครวงศ์ ท้าวนามโคตรเป็นวรบุตร พร้อมทั้งราชทานเครื่องยศตามตำแหน่ง เมื่อ จ.ศ. 1215 พ.ศ. 2396 เมื่อได้ทรงประกาศตั้งเมืองอากาศอำนวย ขึ้นแล้ว ได้ทรงมีสารตราถึงเมืองต่าง ๆ ให้จัดแบ่งเขตแดนให้แก่หลวงพลานุกูล ตั้งเมืองให้ไพร่พลทำมาหากิน เช่น เมืองหนองหาน เมืองสกลนคร เมืองไชยบุรีพร้อมทั้งรายงานเขตแดนให้ทางกรุงเทพฯ ทราบ ปัญหาจากการแยกไพร่พลที่ไม่ขึ้นต่อเมืองสกลนคร นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เมืองสกลนครเสียผล ประโยชน์จากรายได้แรงงาน และเงินส่วย อาจก่อปัญหากระทบกระทั่งเขตแดนขึ้นได้ เจ้าพระยาจักรี สมุหนายก จึงได้มีสารตราถึงพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองคนต่อมาตลอดจนอุปฮาดราชวงศ์ ราชบุตร เมืองสกลนคร ขออย่าให้อาลัยอาวรณ์ ในเขตแขวงซึ่งต้องแบ่งปันไปเลย และขอให้ช่วยทำนุบำรุงหลวงพลานุกูลอย่างที่เคยเป็นมาถ้าพิจารณาข้อมูลแล้วจะเห็นได้ว่า เมืองอากาศอำนวย ในช่วงแรกที่บ้านม่วงริมยาม ได้มีการยื้อแย่งผู้คนกันระหว่างเจ้าเมืองนครพนม และเจ้าเมืองสกลนคร โดยมีข้ออ้างสำคัญ คือ ความต้องการของท้าวเพี้ยไพร่พลเป็นสำคัญ ส่วนเหตุผลในการขอตั้งบ้านเมืองนั้น เจ้าเมืองผู้ขอพระราชทานตั้งเมืองจะรายงานว่ามีผู้คนจำนวนมาก มีพื้นที่ทำเลกว้างขวางมีที่นาทำมาหากินบริบูรณ์ ไม่อยู่ใกล้ชิดเขตแดนเมืองหนึ่งเมืองใดมากเกินไป โดยเฉพาะบ้านม่วงริมยามนั้น เหมาะที่จะตั้งเป็นเมืองเพราะตั้งอยู่ระหว่าง 3 เมือง ระยะทางไม่ห่างกันมากนัก คือ ไปเมืองไชยบุรีทาง 3 คืน จะไปเมืองท่าอุเทน 3 คืน และจะมาเมืองนครพนม 4 คืน ซึ่งก็ปรากฏว่าแม้จะมีการขอตั้งเมืองต่างๆ ขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆ แต่พบว่าชาวโย้ยส่วนหนึ่งเกิดการเคลื่อนย้ายออกจากเมืองอากาศอำนวย เพื่อหาแหล่งทำมาหากินในพื้นที่ที่เหมาะสมกว่า ทำให้ประชากรลดลงตามลำดับในขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีสารตราส่งไปยังเมืองต่างๆ เพื่อให้มีการควบคุมดูแลหัวเมืองต่างๆเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังมีข้อความปรากฏดังนี้ " .... นายไพร่ยกครอบครัวอยู่กับหัวเมืองใด ยกให้อยู่ทำราชการขึ้นอยู่กับหัวเมืองนั้น ถ้าหัวเมืองบ่าวไพร่มากควรจะตั้งเป็นเมือง ก็ให้จัดแจงตั้งเป็นเมืองและให้ทำราชการกับหัวเมืองใหญ่ดังแจ้งอยู่แล้ว .... " การบริหารราชการเมืองอากาศอำนวย รัชกาลที่ 4 ทรงมีสารตราและได้กำหนดให้มีการบริหารงานโดยให้มีการแต่งตั้งท้าวเพี้ยไว้ให้ครบตามตำแหน่งหัวเมืองทั้งปวง เพื่อจะให้ได้ช่วยกันรักษาบ้านเมืองครอบครัวไพร่พลให้อยู่อย่างเป็นสุข กรณีเกิดมีเรื่องราวฟ้องกัน ให้ตัดสินให้สำเร็จตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมบ้านเมืองดังสืบมาแต่ก่อนในรัชกาลที่ 5 เหตุการณ์เมืองญวนไม่สงบ พวกญวนเข้ามาสร้างความเดือดร้อนอยู่เนืองๆ พระองค์ได้แต่งตั้งข้าราชการดูแลเมืองต่างๆ ป้องกันรักษาด่านไม่ให้ญวนเข้ามา เช่น ให้ราชบุตร (เหม็น) เป็นพระภูวดลบริรักษ์ ยกบ้านโพหวาเป็นเมืองภูวดลสอางอยู่ฟากโขง ฝั่งซ้ายริมแม่น้ำเซบั้งไฟโดยให้ขึ้นกับแขวงเมืองสกลนคร และทรงแต่งตั้งให้ท้าวเทพกัลยาหัวหน้าไทโย้ย เป็นพระสิทธิศักดิ์ประสิทธิ์ เป็นเจ้าเมือง ยกบ้านโพนสว่างหาดยาวริมน้ำปลาหางเป็นเมืองสว่างแดนดินขึ้นกับแขวงเมืองสกลนคร ในสมัยนี้มีชาวโย้ยเข้ามาบริหารบ้านเมือง ต่อมาใน พ.ศ. 2415 พระยาจันตประเทศธานีเจ้าเมืองสกลนคร มีใบบอกขอแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าราชการ ด้วยเหตุที่เมืองสกลนครมีเมืองขึ้นถึง 6 เมือง ราชการมีมากขอให้ท้าวโง่นคำบุตรราชวงศ์ ( อิน ) คนเก่ารับราชการตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมือง มีตำแหน่งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท้าวโง่นคำ เป็นพระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร และต่อมาในปี พ.ศ. 2458 มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองใหม่ เทศาภิบาลมณฑลอุดรธานี ได้มาตรวจราชการที่อำเภออากาศอำนวยเห็นว่า การคมนาคมและการติดต่อไปมากับจังหวัดนครพนมไม่สะดวก เพราะอำเภออากาศอำนวยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดมาก จึงได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองใหม่ โดยยุบอำเภออากาศอำนวยเป็นตำบลอากาศแล้วขึ้นต่อการปกครองของอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร การยุบอำเภออากาศอำนวยช่วงนั้น ถือว่าเป็นช่วงที่สำคัญที่มีชุมชนหนาแน่นในต้นปากน้ำสงครามและพยายามที่จะตั้งเป็นอำเภอหรือกิ่งอำเภอ แต่ไม่สามารถหาชื่อกิ่งอำเภอได้เหมาะสม ดังจะเห็นว่าได้มีการรวบรวมผู้คนจากตำบล 7 ตำบล คือ บ้านแพง บ้านแวง นาทม บ้านข่า บ้านเดื่อ บ้านนาหว้า และบ้านสามผง ขอตั้งเป็นกิ่งอำเภอขึ้นที่บ้านสามผง โดยใช้ชื่อว่ากิ่งอำเภออากาศอำนวย ในปี พ.ศ. 2469 แต่กิ่งอำเภอแห่งนี้มีปัญหาน้ำท่วมที่ว่าการกิ่งอำเภอในฤดูน้ำหลาก ทางราชการจึงหาสถานที่ตั้งกิ่งอำเภออากาศอำนวย แห่งใหม่ที่บ้านเวินชัย ซึ่งอยู่ใกล้ลำน้ำสงครามแต่มีปัญหา เช่นเดียว กับที่บ้านสามผง ในที่สุดก็ย้ายมาตั้งกิ่งอำเภอที่บ้านท่าบ่อ ซึ่งอยู่ปากน้ำสงครามบรรจบลำน้ำยามในบริเวณแห่งนี้แม่ว่าจะอุดมสมบูรณ์ด้วยปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ แต่ปัญหาน้ำท่วมบริเวณที่ทำการสำคัญ ๆ ของรัฐบาลในฤดูน้ำหลาก ทำให้ไม่สะดวกในการติดต่อราชการของราษฎร จึงได้มีการยุบกิ่งอำเภออากาศอำนวย ที่บ้านท่าบ่อเสียและตั้งกิ่งอำเภอแห่งใหม่ขึ้นที่บ้านศรีสงคราม ไม่ห่างจากบ้านท่าบ่อมากนัก ใน พ.ศ. 2496 หลังจากนั้นมาอีก 10 ปี ในปี พ.ศ. 2506 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้ตรวจราชการที่ภาคอีสาน ได้พิจารณาเห็นว่าราษฎรในเขต 4 ตำบล คือ ตำบลวาใหญ่ ตำบลอากาศ ตำบลโพนแพง ตำบลโพนงาม อยู่ห่างไกลจากอำเภอวานรนิวาส การติดต่อกับอำเภอไม่สะดวก ประกอบกับมีปัญหาผู้ก่อการร้ายแทรกซึม จึงให้ยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภออากาศอำนวยขึ้นกับอำเภอวานรนิวาส เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 จึงถึงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 จึงได้รับการยกขึ้นเป็นอำเภออากาศอำนวยจึงถึงปัจจุบัน อ่านต่อ
|